ผมก็เชื่อว่ามีโหรคนไทยที่มีความรู้โหราศาสตร์จีนไม่แพ้โจอี้หลายคน แต่เท่าที่ทราบก็ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จในเชิงการตลาดระดับนานาชาติเท่าโจอี้ ผมเลยบอกว่า เขามีความสามารถด้านการสื่อสารและการบริหารจัดการสูงจนดังอย่างในปัจจุบันไงครับ

เรื่องนี้ก็เหมือนเวลาเราบ่นกันในวงการโหรบ้านเราว่า หมอดูชื่อดังตามสื่อมวลชนมักไม่ค่อยว่าตามหลักวิชาหรือออกแนวมั่ว เราก็มักบ่นกันว่า โหรตัวจริงไม่ได้ปรากฏตามสื่อ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง แต่ส่วนสำคัญผมเชื่อว่า มาจากโหรตัวจริงมักไม่เด่นในเรื่องความสามารถในการสื่อสารกับมวลชนและการบริหารจัดการ สำหรับโจอี้เอง ผมก็อยากไปฟังเขาเพื่อประเมินด้วยตัวเองว่า หลักวิชาเขาเป็นอย่างไร หากหลักวิชาก็ดี สื่อสารเก่ง บริหารจัดการเยี่ยม ก็น่าจะเป็นแนวทางให้โหรตัวจริงบ้านเราทำได้บ้าง คนนอกจะได้ไม่ดูถูกโหรอย่างที่มักเจอในปัจจุบันครับ

ส่วนเรื่องราคาเข้าฟัง หากใครสนใจจริงๆ ติดต่อผมทาง E-mail ภายในวันพฤหัสเที่ยง (4 ก.พ.) ผมน่าจะหาบัตรเข้าฟังในราคาที่ได้ส่วนลดมากๆ สำหรับชาวโหรายูเรเนียนได้ครับ

ใครไปฟังช่วยมาเล่าต่อด้วยนะคับ  ว่าหลักวิชาการอีเก่งแค่ไหน โดยไม่ต้องการผลงานโฆษณาว่าลูกค้าเป็นใคร

ไปฟังการบรรยายของโจอี้ เมื่อวันศุกร์แล้วครับ ช่วงเช้า เป็นเรื่องฮวงจุ้ย ช่วงบ่ายเป็นเรื่องอ่านใบหน้า (เขาใช้คำว่า เมี่ยนเซียง ไม่ได้ใช้คำว่าโหงวเฮ้ง) ส่วนวันเสาร์บ่ายที่บรรยายเรื่องดวงจีนนั้น ผมไม่ได้ไปฟังเพราะติดธุระ

โดยรวมแล้ว ผมรู้สึกว่าเป็นการบรรยายที่ดีครับ เพราะโจอี้ออกแบบการบรรยายได้ดี โดยสามารถสอนหลักวิชาฮวงจุ้ยให้คนทั่วไปที่ไม่รู้เรื่องให้พอเห็นภาพได้ภายใน 3 ชั่วโมง โดยนำมาเฉพาะหลักการใหญ่ๆ ตัดทอนรายละเอียดออกไป แต่สามารถนำไปใช้ได้จริง การโฆษณาของเขาก็ทำได้เนียนและอยู่ในระดับที่เหมาะสม

สำหรับหลักวิชาของเขานั้น ผมขอไม่นำมาเล่าตรงนี้ เพราะท่านใดสนใจก็ลองไปเปิดอ่านดูตามร้านหนังสือ หรือถ้าถูกใจ จะซื้อมาอ่านก็ได้ แต่ขอยกข้อสังเกตของผมระหว่างฟังบรรยายมาเล่าตรงนี้น่าจะเป็นประโยชน์กว่า
1) โจอี้เน้นการดูจากภาพใหญ่ลงมาภาพเล็ก หรือภาษาของยูเรเนียนคือ ดูจาก ปรมาตมัน (Macrocosm) มายัง อาตมัน (Microcosm) เช่น ในเรื่องฮวงจุ้ย เขาเน้นว่า 70% ของฮวงจุ้ยจะดีไม่ดี ขึ้นกับสภาพแวดล้อมภายนอก ดังนั้น ก่อนซื้ออสังหาฯ ให้เริ่มจากการดูสภาพภายนอก ไม่ใช่ไปเริ่มจากการตกแต่งภายใน
2) โจอี้เน้นว่า ชีวิตเราลิขิตเองได้ ผมเรียกว่า กรรมลิขิต (Freewill) ดังนั้น เขาจะเน้นว่า เราจะปรับปรุงแก้ไขอย่างไร ไม่ใช่เน้นให้ยอมรับชะตาชีวิต เช่น ตอนที่สอนเรื่องการอ่านใบหน้า ยกตัวอย่างผู้หญิงคนหนึ่งว่าริมฝีปากไม่ดี จะส่งผลให้ชีวิตวัย 50กว่าจะมีความลำบาก เขาบอกว่า ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้คนนี้อายุเพียง 30 ปี ยังมีเวลาอีกตั้ง 20 ปีที่จะเตรียมตัว หากเตรียมตัวดี ริมฝีปากก็จะเปลี่ยนรูปไปเอง หรือมีผู้เข้าสัมมนาถามโจอี้ว่า หากในดวงชะตาบอกว่า เป็นคนจน แล้ว ฮวงจุ้ยจะช่วยให้เขารวยได้หรือไม่? คำตอบของโจอี้ คือ ได้ ด้วยการไม่ทำในสิ่งที่ทำให้จน และทำงานให้หนักมากเพื่อให้รวย ตัวอย่างคือตัวเขาเอง ที่อาจารย์หลายท่านดูดวงเขาแล้วบอกว่า เขาทำเงินจากโหราศาสตร์ไม่ได้ แต่เขาตัดสินใจทำด้วยการทำงานหนักกว่าคนอื่น ไม่ทำในสิ่งที่จะทำให้เขาจน ในที่สุดเขาก็รวยได้ด้วยวิชานี้
3) การแก้ไขชีวิตให้ดีขึ้น เขาเน้นที่การทำงานให้หนัก วิเคราะห์ดวงชะตาดูจุดอ่อนแล้วแก้ไขตรงจุดอ่อนนั้น เขาบอกว่า คนเรามักคิดว่าให้แก้ไขจากสิ่งภายนอกแต่ไม่ยอมแก้ไขตนเอง ซึ่งผิด เขาบอกว่า เราต้องเริ่มแก้ไขจากตัวเราก่อน แล้วการแก้ไขสิ่งภายนอกจะไม่ใช่เรื่องยาก
4) เขาเน้นว่า ฮวงจุ้ยคลาสสิค ไม่มีเรื่องการแก้ฮวงจุ้ยด้วยการวางของประดับ เพราะฮวงจุ้ยเป็นเรื่องการเชื่อมต่อกับ "ชี่" ซึ่งมาจากธรรมชาติ มันจึงมักไม่ถูกสร้างจากวัตถุที่มาจากมนุษย์ เช่น ของประดับตกแต่ง ฯลฯ (ตรงนี้ต่างกันมากกับสำนักฮวงจุ้ยของมาเลเซียที่ดังอีกสำนักหนึ่ง อย่าง Lilian Too ที่ผลิตของประดับตกแต่งมาแก้ฮวงจุ้ยมากมาย)

ในแง่ของการตลาดและการบริหารจัดการ ผมสังเกตว่า
1) เขาออกแบบหลักสูตรสัมมนาได้ดี ใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงก็สามารถสอนคนทั่วไปให้ได้ความรู้ไปพอสมควร เช่น ฮวงจุ้ย ก็สอนหลักดูสภาพแวดล้อมภายนอก การจัดตำแหน่งห้องตาม "กัว" ของบ้าน และการจัดทิศทางตาม "กัว" ของชีวิต
2) การโฆษณาสินค้าบริการของเขาทำได้เนียน เหมาะสม ไม่มากเกินไปจนน่ารำคาญ ไม่น้อยเกินไปจนเขาทำเงินเพิ่มเติมไม่ได้
3) สินค้าและบริการของเขามีครบวงจร และไม่ขัดกับหลักวิชาของเขา เท่าที่ผมสังเกตเห็นก็คือ
     3.1 สัมมนา สำหรับคนทั่วไป
     3.2 หนังสือและอุปกรณ์ประกอบ รวมถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สำหรับคนที่สนใจมากขึ้น
     3.3 บริการดูดวงชะตาจีนหรือฮวงจุ้ย ทั้งโดยเขาเองและทีมงานของเขา (ในราคาที่แพงมากครับ)
     3.4 หลักสูตรสอนทั้งฮวงจุ้ย การอ่านใบหน้า และการดูดวงชะตาจีน (ในราคาที่แพงมากเช่นกันครับ)
4) ทีมงานของเขามีความกระตือรือร้นทุกคน ท่าทางน่าเชื่อถือ ถามอะไรก็ตอบได้ บ่งบอกฝีมือการบริหารทีมครับ

โดยรวมแล้ว ผมชอบกับแนวทางของสำนักนี้ และทำให้ได้แนวคิดดีๆนำไปใช้ในชีวิตประจำวันครับ 

ตอนผมเรียนฮวงจุ๊ย  เคยถามซินแสท่านว่า  ฮวงจุ๊ยที่ตรงตามตำราที่สุดดีที่สุดเท่าที่มนุษย์จะสร้างขึ้นได้อยู่พระราชวังต้องห้ามกรุงปักกิ่งทำไมฮ่องเต้ซึ่งอยู่ที่นั่นโดยเฉลี่ยแล้วย่ำแย่  อยู่ไม่เป็นสุขและไม่ค่อยนานตั้งแต่สมัยหมิงจนมาถึงสมัยชิง  ท่านตอบว่า  ฮวงจุ๊ยที่ดีเปรียบเสมือนตู้เย็นที่แช่เนื้อ  ถ้าเนื้อคุณภาพดีจะทำให้ตู้เย็นรักษาเนื้อไม่ให้เน่าได้เนิ่นนาน  แม้เนื้อที่เน่าแล้วก็ยังอยู่ได้นานว่าปรกติ  แต่ถ้าตู้เย็นเสียและเนื้อก็เน่าด้วยแล้วจะ ยิ่งเร่งอัตราการเน่าของเนื้อให้เน่าเร็วยิ่งขึ้น

การเรียนฮวงจุ๊ยต้องแยกให้ออกระหว่าง หลักการก่อสร้างแบบจีนโบราณ  ทิศทาง หลักสุขาภิบาลทางเดินของการระบายอากาศ  และสภาพน้ำดื่มน้ำใช้  อนามัยและของเสีย และการคมนาคม ชุมชน ยุคสมัย  เส้นรุ้งแวงและสภาพภูมิประเทศ  รวมไปถึงหลักการแห่งความสมดุลย์ 

กับหลักโหราศาสตร์จีนโบราณระบบปากัว หรือยันต์โป๊ยก่วย

ถ้าตีไม่แตกและไม่สามารถเอามาใช้ประยุกต์กับสิ่งที่ร่วมสมัย ที่วิวัฒนาการมามากแล้วอย่างเช่น

การคมนาคมจาก  แม่น้ำคูคลองมาเป็นถนน   ระบบไฟฟ้า โทรคมนาคม ระบบปรับอากาศ และท่อน้ำใช้น้ำทิ้ง  รวมไปถึงการต่อชั้นขึ้นไปของอาคาร ฯลฯ

ยิ่งมาอุปาทานกับความเชื่องมงายที่ขาดหลักการรองรับที่เป็นวิทยาศาสตร์ด้วยแล้ว

เรียนให้ตายก็แก้ไม่ได้ ใช้ไม่ได้จริง ยิ่งกว่า  GT200  อีก

ในวิชาโหราศาสตร์สากลยูเรเนียนก็มีเรื่องประยุกต์ภาพดวงกับพื้นที่ แต่งบ้านตามดวงเจ้าของบ้าน เท่าที่รู้ก็เอามาประยุกต์ได้เช่นแนวฮวงจุ้ยเช่นกัน  อย่างน้อยก็มีรากฐานรองรับกับภาพดาวจริงในท้องฟ้า  เท่าที่เอามาใช้ก็ได้ผลดี