ReadyPlanet.com
dot


ดาวเคราะห์ทั้งสี่แห่งเวลา


ดาวเคราะห์ทั้งสี่แห่งเวลา ได้แก่ เนปจูน พลูโต คิวปิโด และฮาเดส ดาวเหล่านี้เป็นเรื่องของ เมอริเดียน และถูกผนึกเข้าด้วยกันโดยอาศัยพลังงานของจันทร์ ดังนี้ คือ เนปจูน คือ พลังงานการทำลาย ของ อนาคต พลูโต คือ พลังงานการสร้าง ของ อดีต คิวปิโด คือ พลังงานการสร้าง ของ อนาคต ฮาเดส คือ พลังงานการทำลาย ของ อดีต ผมยังไม่เข้าใจคำอธิบายข้างต้นนี้ จึงใคร่ขอให้ผู้รู้ช่วยขยายความหมายเหล่านี้ เพื่อความกระจ่างในการศึกษาด้วยครับ ขอบคุณครับ มนต์ชัย


ผู้ตั้งกระทู้ มนต์ชัย :: วันที่ลงประกาศ 2009-07-29 15:10:09 IP : 118.174.87.239


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1969295)
นั่นดิ ดาวใหม่ๆได้ความหมายมาจากสถิติ แล้วค่อยหาปรัชญามาใส่หรือเปล่า
ผู้แสดงความคิดเห็น เชิญผู้รู้ วันที่ตอบ 2009-07-29 15:59:51 IP : 114.128.173.233


ความคิดเห็นที่ 2 (1969453)

ข้อความที่คุณมนต์ชัยยกมา อยู่ในคัมภีร์สูตรพระเคราะห์สนธิ หน้า ๑๔๓

แต่ก่อนที่ผมจะแสดงความเห็น อยากให้คุณมนต์ชัยลองแสดงความเห็นของคุณมาก่อนสิครับ จะได้คุยกันต่อออกรสออกชาติมากขึ้น

สำหรับความเห็นที่ 1 นั้น ผมคิดว่า ดาวใหม่ๆย่อมไม่ได้ความหมายจากสถิติครับ เพราะเป็นดาวใหม่จะเก็บสถิติจากอะไรครับ ดาวใหม่ย่อมสังเคราะห์ความหมายจากปรัชญา แล้วจึงเก็บสถิติเพื่อพิสูจน์ปรัชญานั้น

ผู้แสดงความคิดเห็น Pallas (pallas-at-horauranian-dot-com)วันที่ตอบ 2009-07-29 22:59:50 IP : 125.24.137.59


ความคิดเห็นที่ 3 (1969616)

ฮาเดส คือ สิ่งปลักหักพัง   เป็นอดีตผ่านไปแล้ว  ถ้ามองย้อนกลับไป จากปัจจุบัน ก็จะเห็นอำนาจการทำลายล้างจากอดีตซึ่งจบไปแล้วไม่ต่อเนื่องมา....แล้วหยุดเวลาไว้ที่ปัจจุบัน

พลูโต  คือ รื้อแล้วสร้างขึ้นมาใหม่  ต้องถูกรื้อไปก่อนจากอดีตแล้วสร้างขึ้นใหม่จนถึงปัจจุบันยังสร้างอยู่..แล้วหยุดเวลาไว้ที่ปัจจุบัน...จะเห็นพลังงานการสร้างจากอดีต

คิวปิโด  คือ ร่วมแรงร่วมใจ  ณ ปัจจุบัน  มุ่งไปสู่อนาคต  เป็นพลังงานในการสร้างของอนาคต

ส่วนเนปจูน  คือ ภาพในฝันหรือจินตนาการพุ่งไปในอนาคตโดยนับจากปัจจุบัน  จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่จริงก็ได้  หรืออาจจะเป็นจริงแต่บางส่วนไม่ใช่ทั้งหมด  และอาจจะเปลี่ยนแปรเป็นรูปแบบอื่นก็ได้  จึงเป็นตัวแทนของการทำลายร้างในเรื่องของอนาคต

ส่วน จันทร์ กับเมอริเดียน เป็นผู้รับรู้  ผ่านในรูปแง่มุมของนามธรรม แนวจิตเบื้องลึกซึ่งต่างระดับกัน   ซึ่งต่างกับ อาทิตย์และลัคนา  ซึ่งเป็นเรื่องรูปธรรมและมิติเวลาและสถานที่ที่ต่างกันตามความหมาย

เอ! จะเข้าใจขึ้นไม๊เนี่ย  หรือ  มึนตึ้บไปกว่าเดิม...อิอิ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น หอมกรุ่น วันที่ตอบ 2009-07-30 14:23:04 IP : 118.172.22.33


ความคิดเห็นที่ 4 (1969674)
ผมได้อ่านเนื้อหาในคัมภีร์สูตรพระเคราะห์สนธิ ตามที่คุณPallasกล่าวไว้โดยไม่เข้าใจความหมายเกี่ยวกับเนื้อหาคือพูดง่ายๆว่าไม่เข้าสิ่งที่ในคัมภีร์กล่าวไว้ จึงเขียนมาเพื่อขอคำอธิบายจากผู้รู้ครับ
ผู้แสดงความคิดเห็น มนต์ชัย วันที่ตอบ 2009-07-30 16:19:07 IP : 118.174.130.95


ความคิดเห็นที่ 5 (1970165)
ใครอ่านคัมภีร์สูตรพระเคราะห์สนธิ เมื่ออ่านถึงบทนี้แลัวไม่งงล่ะก็ ถือได้ว่ายังไม่ได้อ่าน เพราะบทนี้เป็นเรื่องของปรัชญาการตีความความหมายดาว เป็นพื้นฐานของการออกแบบคำแปลสำหรับระบบดาวพระเคราะห์ ดังนั้นเมื่ออ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็ให้ย้อนกลับมาอ่าน หน้า 129 ใหม่อีกซ๊ำไปเรื่อยๆ (ผมอ่านบทนี้เป็นประจำยามว่างเลยก็ว่าได้)
 
เพราะบทนี้คือปฐมบทแห่งโหราศาสตร์แนวปรัชญา เมื่อทำความเข้าใจแล้ว ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องไปจำคำแปลทั้ง 5 พันกว่าสูตรเลยก็ว่าได้ เราสามารถผสมคำแปลได้ไปตามปรัชญาแห่งดาวนั้น ถือเสมือนว่าเป็นธาตุแท้ในวิชาเคมี(หน้า 132)
 
ผมเข้าใจว่า บทนี้น่าจะเป็นการบรรยายความโดย Friedrich Sieggruen แสดงให้เห็นถึงความลึกล้ำของปัจจัยทางโหราศาสตร์ที่ได้คิดค้นเพิ่มเติมออกมาเป็น Trans-neptune(ดาวทิพย์) โดย witte สี่ดวง และ Sieggruen สี่ดวง
 
ให้ความหมายของชีวิตและความเป็นไปในจักรวาลสากลนี้ ได้ครอบคลุมสมบูรณ์ จนแทบจะพูดได้ว่า ไม่จำเป็นต้องสร้างปัจจัยโหราศาสตร์ใดๆมาเพิ่มเติมอีกแล้ว นอกเหนือจากนี้
 
หากมองในยุคสมัยแล้ว โหราศาสตร์ยูเรเนียน เกิดขึ้นมาในยุคสมัยเดียวกับแนวความคิดของ Albert Einstein ยุคแห่งทฤษฎีสัมพัทธภาพ อิทธิพลของ Einstein จึงพบได้ทั่วไป ในหมู่สุดยอดนักคิดทั้งหลาย ในวงการโหราศาสตร์ก็เช่นกัน
 
ในหน้า 143 บรรทัดแรก เริ่มด้วยคำว่า ชีวิต, เวลา, อวกาศ, กำลังงานและวัตถุ
 
หากเปรียบเทียบในเชิงอุปมา อุปมัย มันก็คือ life time space and energy นั่นเอง คงจะนึกไปถึงสูตร อมตะที่ว่า e =mc ยกกำลังสอง ก็น่าจะพอได้
 
เราจึงน่าจะพูดได้ว่า นี่คือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพในทางโหราศาสตร์
 
ดังนั้นเราจะมองเพียงแค่บางส่วนของ เนื้อหาในบทนี้ไม่ได้ มันสัมพันธ์โยงใยกันหมด ตั้งแต่หน้า 129 จนถึงหน้า 144
 
ผมเกริ่นนำซะนาน ไม่ได้ตอบคำถามเลย ขออนุญาตตีความตามความคิดของผมเองแบบง่ายๆ สำหรับ ดาวเคราะห์ทั้ง 4 แห่งเวลา นะครับ คือเราลองนึกว่าเราสามารถหยุดเวลาไว้ที่ปัจจุบัน แล้วอ่านพฤติภาพของดาว เราจะพบว่า
 
เนปจูน คือ พลังงานการทำลายของอนาคต เพราะเมื่อปัจจุบันหากเราพบกับเนปจูนเมื่อไร ก็ให้นึกไว้เลยว่าในอนาคตจะมีเหตุแห่งการถูกทำลาย(ดีก็ได้เสียก็ได้)
พลูโต คือ พลังงานการสร้างของอดีต เพราะเมื่อปัจจุบันหากเราพบกับพลูโตเมื่อไร ก็ให้นึกไว้เลยว่าได้มีการก่อตัวของการเปลี่ยนแปลงมาแต่อดีตแล้ว(ดีก็ได้เสียก็ได้)
คิวปิโด คือ พลังงานการสร้างของอนาคต เพราะเมื่อปัจจุบันหากเราพบกับคิวปิโดเมื่อไร ก็ให้นึกไว้เลยว่าในอนาคตจะต้องมีการสร้างสรรค์บางอย่าง(ดีก็ได้เสียก็ได้)
ฮาเดส คือ พลังงานการทำลายของอดีต เพราะเมื่อปัจจุบันหากเราพบกับฮาเดสเมื่อไร ก็ให้นึกไว้เลยว่าจุดแห่งการทำลายเกิดขึ้นมาแต่ในอดีตแล้ว(ดีก็ได้เสียก็ได้)
 
คำว่า (ดีก็ได้เสียก็ได้) ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า มีส่วนผสมของปัจจัยโหราศาสตร์อื่นใดเข้ามา
 
ยกตัวอย่างควาหมายของ เสาร์+เนปจูน-ฮาเดส ซึ่งแปลสั้นๆว่า โรคมะเร็ง เพราะมันเป็นเหตุสูญเสีย เนื่องจากฮาเดส(มีเซลล์ทำลายเกิดมาก่อนแล้ว) และ เนปจูน(และจะเกิดการทำลายในอนาคต)
 
ดังนั้น เมื่ออ่านบทนี้แล้ว เราจะตีความความหมายของปัจจัย ออกไปอย่างไรก็ได้ โดยยึดปรัชญาดังกล่าวเข้าไว้
 
เป็นที่ทราบกันว่า คำแปลในสูตรพระเคราะห์สนธิ เกิดขึ้นในยุคสมัยของสงครามโลก ดังนั้นคำแปลอาจให้ภาพออกมาในแง่ลบมากอยู่ เมื่อไปเทียบกับคำแปลของนักโหราศาสตร์ในยุคหลังจากนั้น เช่น อีเบอร์ติน, รุธ บรูมมุน, มิเชล มันคาเซย์ คำแปลจะมีลักษณะผ่อนคลายมากขึ้น
 
เราจึงเพียงยึดถือคำแปลในคัมภีร์เป็นแนวทาง แต่อย่าไปจำเพาะเจาะจงตามตัวอักษรเกินไป ให้นึกถึงปรัชญาแห่งที่มาของความหมายทางโหราศาสตร์ดังที่กล่าวไว้ในบทนี้มากกว่า เราจึงจะสามารถแก้พระเคราะห์สนธิร้ายให้กลายเป็นดีได้ เป็นหลักในการปรับแก้ดวงชะตาอย่างหนึ่ง
 
พูดซะยาว ไม่รู้ว่าตรงคำถามหรือปล่าวก็ไม่ทราบ ก็ขอแสดงทรรศนะส่วนตัวไว้เท่านี้ก่อนครับ
ผู้แสดงความคิดเห็น หนุ่ม วันที่ตอบ 2009-08-01 09:56:26 IP : 110.169.46.226


ความคิดเห็นที่ 6 (1970328)
ได้อ่านความคิดเห็นที่3โดยคุณหอมกรุ่นและความเห็นที่5โดยคุณหนุ่มแล้วผมรู้สึกว่ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้นและจะกลับไปทำความเข้าใจ ในหน้า129และหน้า144ในคัมภีร์ฯตามที่คุณหนุ่มได้เกริ่นไว้ ขอบคุณครับทั้งคุณหอมกรุ่นและคุณหนุ่ม หวังว่าคงได้รับคำแนะนำดีๆจากคุณทั้งสองอีกในโอกาสต่อไป
ผู้แสดงความคิดเห็น มมต์ชัย วันที่ตอบ 2009-08-01 22:41:27 IP : 118.174.81.247


ความคิดเห็นที่ 7 (1970341)

จากเอกสารโหราศาสตร์ยูเรเนียน ร.ร.โหราศาสตร์กรุงเทพ ฉบับที่ 13

7. ตัวอย่างการสังเคราะห์กลุ่มดาว
......
สำหรับ ปัจจัย ที่เกี่ยวกับ เวลา ก่อนอื่น นักศึกษาจะต้องทราบว่า ในการพยากรณ์ทางโหราศาสตร์ โดยละเอียดจริง ๆ นั้น ในบางครั้ง เราก็มีความต้องการที่จะทราบว่า เหตุการณ์ หรือ "สิ่ง" ที่อุบัติขึ้น ในปัจจุบัน นี้ นั้น เป็นมาตั้งแต่อดีต หรือไม่? ดังเช่น นาย ก. ถูกตำรวจจับ เพราะขโมยทรัพย์เขา เป็น บางครั้งการพยากรณ์ทางโหราศาสตร์ก็ต้องการที่จะวินิจฉัยให้ละเอียดลงไปว่า ในอดีตทีผ่านมา นี้ นาย ก. เคยขโมยทรัพย์สินมาก่อนหรือเปล่า หรือเคยประพฤติตนเป็นคนหัวขโมยมาแล้วเป็นเวลานานเท่าใด ในกรณีตรงกันข้าม บางครั้งก็มีความจำเป็นที่จะต้องพยากรณ์ต่อไปใน อนาคต ดังเช่น นาย ข. มียศเป็น พันตรี ต่อไปในอนาคต เขาจะเป็น พันตรี เช่นนี้เรื่อยไปหรือไม่? หรือจะสิ้นสุดยศพันตรี เพื่อเลื่อนเป็น พันโท พันเอ พลตรี ...... การพยากรณ์เช่นนี้ ถึงแม้เราจะมีวิธีการอื่นซึ่งสามารถที่จะพยากรณ์ได้อยู่แล้วก็ตาม แต่ในบางคราว ก็ไม่สู้กระทำได้สะดวกเหมือนกัน

อันที่จริง พฤติกรรม บางพฤติกรรม ก็มีลักษณะบอกเวลาอยู่แล้ว ดังเช่น "ดูแล" ย่อมจะหมายถึงเรื่องในปัจจุบัน "ระลึกถึง" ย่อมพัวพันกับ อดีต หรือ "หวัง" ย่อมพัวพันกับ อนาคต ดังนี้เป็นต้น โดยการวินิจฉัยพฤติกรรม บางทีเราก็อนุมาณไปถึง เวลา ได้เหมือนกัน
......
......
อย่างไรก็ดี อันความหมายทางโหราศาสตร์ของดาวพระเคราะห์ที่บอกเวลา ดังเช่น ฮาเดส หมายถึง "พลังงานการทำลายของอดีต" หรือ อีกนัยหนึ่งก็คือ การทำลายอดีต นั้น เดิมทีเดียวท่านหมายถึงว่า ฮาเดส ดวงนี้ มีคุณสมบัติ ทำลาย "สิ่ง" ต่าง ๆ ที่มีมาแต่ อดีต (เช่น เกียรติยศ, ชื่อเสียง, ความร่ำรวย ฯลฯ) อันเป็นสมบัติติดตัวมาของเจ้าชะตา ซึ่งย่อมเป็นไปตามหลักของธรรมชาติ กล่าวคือ ถ้าไม่มีความสูงส่งมาก่อน ก็ย่อมจะตกต่ำ (ฮาเดส) ไม่ได้ หรือ ถ้าไม่ร่ำรวยมาก่อนก็จะกลายเป็นคนยากจน (ฮาเดส) ไม่ได้ ฮาเดส จึงมีอิทธิพล ทำลายอดีต แต่อย่างเดียว จะทำลายอนาคต ไม่ได้ เช่น ความยากจนใสขณะนี้ (ฮาเดส) ย่อมไม่สามารถจะทำลายความมั่งมี ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ไม่ได้ ปัจจุบันยากจน อนาคตอาจกลายเป็นมหาเศรษฐี ก็ได้ ดาวพระเคราะห์ ที่สามารถจะทำลายอนาคตได้ คือ เนปจูน เพราะมีอิทธิพลทำให้ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทั้งนี้ ทั้งทางด้านวัตถุและอุดมการณ์ นอกจากนี้ เนปจูน ยังหมายถึง การสลายตัว ด้วย จึงเป็นตัวทำลายอนาคตที่สำคัญ สำหรับดาวพระเคราะห์อื่น ๆ เช่น คิวปิโด มีอิทธิพล สร้างอนาคต ก็คงทำนองเดียวกัน
......

ผู้แสดงความคิดเห็น nUm วันที่ตอบ 2009-08-02 01:20:33 IP : 24.23.173.68


ความคิดเห็นที่ 8 (1970537)
ขอบคุณครับคุณnUmที่กรุณานำบทความจากเอกสารฯมาเผยแพร่หรืออ้างอิงให้ผู้สงสัยได้เข้าใจอยู่เสมอ ผมรู้สึกชื่นชมคุณอยู่เสมอในการเข้ามาแสดงความคิดเห็นและนำบทความของอาจารย์พลตรีประยูรฯมาเผยแพร่ ผมและผู้สนใจโหราศาสตร์ยูเรเนียนจะรู้สึกขอบคุณอย่างมากถ้าหากจะกรุณานำบทความดีๆที่ยังมิได้เผยแพร่มาลงไว้ในเว็ป เพื่อให้ผู้สนใจได้ศึกษากันคงจะเป็นสิ่งที่ดีงามต่อวงการโหราศาสตร์ยูเรเนียนอย่างแน่นอน ขอขอบคุณอีกครั้งครับ
ผู้แสดงความคิดเห็น มนต์ชัย วันที่ตอบ 2009-08-02 22:04:42 IP : 118.174.151.145


ความคิดเห็นที่ 9 (1970766)

"พอเริ่มแลกเปลี่ยนความเห็น ความรู้ก็ขยายออกไป"

อ่านความเห็นของคุณหอมกรุ่น คุณหนุ่ม คุณ nUm แล้ว รู้สึกว่าได้ใจความมากกว่าที่ผมตั้งใจจะตอบตั้งแต่แรกเสียอีก ขอบคุณมากครับ

กระทู้นี้จึงกลายเป็นกระทู้ทรงคุณค่าอีกกระทู้ อยากเห็นกระทู้ทำนองนี้บ่อยๆครับ

ขอเสริมเรื่องเวลา ที่บอกว่า "ดาวเคราะห์ทั้งสี่แห่งเวลาเป็นเรื่องของ เมอริเดียน และถูกผนึกเข้าด้วยกันโดยอาศัยพลังงานของจันทร์" สังเกตได้ว่า ทั้งเมอริเดียน และจันทร์ เป็นจุดเจ้าชะตาที่เกี่ยวกับ ด้านใน กล่าวคือ เมอริเดียน เป็นระดับสัญชาตญาณ ส่วนจันทร์เป็นระดับจิตสังขาร หากเรามองให้แง่ฟิสิกส์แบบทฤษฎีสัมพัทธภาพ จะพบว่า เวลาเป็นเรื่องสัมพัทธ์ ไม่ใช่สิ่งสัมบูรณ์ กล่าวคือ เวลาแต่ละหน่วยไม่ได้เท่ากันสำหรับทุกคน แต่ขึ้นกับกรอบอ้างอิงของแต่ละคน เวลาของมนุษย์บนโลกจะไม่เท่ากับเวลาของมนุษย์ในยานอวกาศ ซึ่งมองอีกแง่คือ เวลาเป็นเรื่องของจิต ไม่ใช่เรื่องของกาย ประเด็นก็น่าขบคิดต่อไปเหมือนกัน

ท่านใดมีความเห็นเพิ่มเติม เชิญแลกเปลี่ยนกันต่อได้นะครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น Pallas (pallas-at-horauranian-dot-com)วันที่ตอบ 2009-08-03 15:54:27 IP : 61.90.143.87


ความคิดเห็นที่ 10 (1970945)

รู้สึก  คือ  ปัจจุบัน
นึก  คือ  ภาพอดีตย้อนที่ไปข้างหลัง
คิด  คือ  ตระหนักไปถึงจินตนาการรับรู้ข้างหน้า

รู้สึก  นึก  คิด  จึงเป็นนิวรณ์ 5 อันได้แก่

กามฉันทะ  ได้แก่  ความพอใจในอารมณ์แห่ง รูป  รส  กลิ่น  เสียง  สัมผัส และอารมณ์อันพอใจ

พยาบาท  ได้แก่   ความไม่พอใจ  ความขัดเคืองใจ

ถีนมิทธะ  ได้แก่  ความง่วงเหงา  หดหู่  ท้อแท้  เบื่อหน่าย

อุจธัจจะกุกุจจะ  ได้แก่  การจับจด  ฟุ้งซ่าน ไม่เป็นสมาธิ

วิจิกิจจฉา   ได้แก่  ความสงสัย  ลังเล และรีรอ

สิ่งพวกนี้  วนเวียนเข้ามาในดวงจิตของมนุษย์  เปรียบเสมือนดาวปัจจัยจรต่างๆอยู่ที่ว่าจุดตั้งรับของเจ้าชะตาจะอ่อนไหวเข้มแข็งอย่างไร  ตามกรรมกำเนิด

เมอริเดียน  กับ  จันทร์  รวมไปถึง จุดสะท้อนของปัจจัยทั้ง 2 นี้จึงเป็นเรื่องสำคัญในวิชาโหราศาสตร์

เพราะโหราศาสตร์เป็นเรื่องของเวลา  แต่มิติในการรับรู้นั้น  รับได้โดยกระบวนการทางจิต

ซึ่งลงลึกตั้งแต่  ขณะจิต  ไปจนถึงรอบคาบของวัฏฏะ  ทั้งแสดงออก และไม่แสดงออก ในรูปแบบต่างๆผันแปรไปตามปรากฏการณ์ตั้งรับของเจ้าชะตาหรือ ขณะประสงค์

การศึกษาโหราศาตร์ให้ลึกซึ้งจึงจำเป็นต้องเข้าใจตั้งแต่การสถาปนาท้องฟ้า ให้ครบ  ทุกปัจจัยในมิติของเวลาและการแสดงออกด้วย

ซึ่งมิติของเวลา  ได้แก่  การรู้สำนึก  ไม่รู้สำนึก  แสดงออก  ไม่แสดงออก  เกิดเอง  เกิดจากสิ่งอื่นส่งผลเข้ามากระทบ  สถานที่เกิดเหตุ  ขณะที่เกิด  ปัจจัยอะไรที่ไหนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง

 

ผู้แสดงความคิดเห็น หอมกรุ่น...ทิ้งทุ่นไว้ให้ขบคิด วันที่ตอบ 2009-08-04 10:04:46 IP : 118.172.56.169


ความคิดเห็นที่ 11 (1973765)
ว่าจะมาเขียนต่อในกระทู้นี้ แต่ก็มัวไปยุ่งเรื่องอื่นซะ เลยขาดช่วงไปนาน บันทึกไว้ตรงนี้ก่อนกันลืม แล้ววันหลังจึงค่อยมาขยายความต่อ
 
เกี่ยวกับเรื่องของเวลา ก็อย่างที่คุณ Pallas บอกแหละครับ เวลาแต่ละหน่วยไม่ได้เท่ากันสำหรับทุกคน มันเป็นเรื่องของ space & time ในหลักโหราศาสตร์ก็อย่างที่ ท่าน อ.อารี ว่าไว้แหละว่า รู้โหราก็ต้องรู้เรื่องของ กาละ(time) เทศะ(space หรือ พื้นที่)
 
ดวงกำเนิดก็คือเรื่องของ พื้นที่ หรือ space ว่าเราเกิดว่ามีอะไร บ้าง ส่วนการพยากรณ์จรเป็นเรื่องของ เวลา(time) ว่าจะเกิดเมื่อไร ท่าน อ.ประยูร กล่าวว่า ถ้าดวงชะตาไม่บอกอะไร การพยากรณ์จรก็จะบอกว่า เมื่อไร ไม่ได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามกำหนดเวลา ย่อมต้องปรากฏอยู่แล้วในพื้นดวง
 
ทีนี้เรื่องของเวลาของทุกคนไม่เท่ากัน ก็เป็นไปตามที่ ไอน์สไตน์กล่าวไว้อยู่แล้ว ว่าเวลาไม่ได้เดินด้วยอัตราคงที แต่เป็นเวลาสัมพัทธ์ ตรงนี้สะท้อนถึง ท่านวิตเตอ ว่าท่านย่อมเข้าใจเรื่องของ กลศาสตร์ควอนตัมดี แต่อธิบายในมุมมองของโหราศาสตร์ ยกตัวอย่างโค้งสุริยยาตร์ซึงท่านนำมาใช้ ท่านไม่นิยมใช้อัตราคงที่เช่นที่นักโหราศาสตร์คลาสสิค เดิมใช้พวก Primary Direction เช่น 1 ปี = 1 องศา หรือของ naibod 59:09 ฯลฯ แต่ท่านใช้การโคจรของอาทิตย์ 1 วันเท่ากับ 1 ปี(Secondary Direction) ดังนั้นเวลา(อายุขัย) ของแต่ละคนย่อมเคลือนที่ไปในอัตตราไม่เท่ากันตามอัตราการเคลื่อนที่ของอาทิตย์ในแต่ละวัน  บางคนจึงแก่เร็ว บางคนแก่ช้า (ไม่เหมือนภรรยา ที่แก่ง่ายตายยากทุกคน เอิ๊กๆๆๆ) บางช่วงเวลาคนนี้มีพัฒนาการเร็ว บางคนช้า และเมื่อเวลาของแต่ละคนไม่เท่ากัน การที่ดาวจรบนฟ้ามาสัมพันธ์ถึงแต่ละคน ก็ย่อมจะให้อิทธิพลแตกต่างกันไป ดังคำกล่าวที่พูดถึงกันบ่อยในโหราศาสตร์ไทยว่า "ดาวใครดาวมัน"
ผู้แสดงความคิดเห็น หนุ่ม วันที่ตอบ 2009-08-14 10:39:19 IP : 202.176.101.20


ความคิดเห็นที่ 12 (4022561)
I must say old chaps, I went into this career with those prcicnoepteons but there"s been moments were account handlers have jumped on board and helped in on the creative work when they made a mistake and sent the creative teams in the wrong direction from what the client went, so although they make mistakes and can some time take the fun out of the brief they do it with the results and client in mind so I respect them for that after all if there were no rescrictions on us creatives then it wouldn"t push us
ผู้แสดงความคิดเห็น in1WYfDeCf (o6ntc2wn-at-mail-dot-com)วันที่ตอบ 2016-06-09 10:05:49 IP : 188.143.232.27


ความคิดเห็นที่ 13 (4023906)
That"s really thnkniig out of the box. Thanks!
ผู้แสดงความคิดเห็น T0XAWu9H6FKF (dzdqyefe-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2016-06-09 16:15:10 IP : 188.143.234.155


ความคิดเห็นที่ 14 (4039004)
http://freuchieandfalklandchurches.com/car-insurance-uk-for-3-days.html http://outtechus.com/insurance-newfoundland.html
ผู้แสดงความคิดเห็น sp1gq3M1IF (q5qr8kuyeq-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2016-06-29 19:53:35 IP : 188.143.232.27



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.