วิโรจน์ กรดนิยมชัย
10 สิงหาคม 2552

          ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องนำบทความเคยที่เขียนมาแล้วต้องมาเขียนซ้ำใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่เมื่อเหตุการณ์ของประเทศไทย บ้านของผมกำลังถึงจุดที่จะต้องพิจารณาว่า จะมีอันเป็นไปอย่างไร หรือไม่ทำให้ผมต้องนำบทความนี้มาพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ได้นำเสนอไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้ และเมื่อนำมาพิจารณาก็ได้พบข้อมูลที่ไม่ทำให้ผิดหวัง เมื่อได้พบว่า วงรอบของการเกิดซ้ำของเหตุการณ์ที่เป็นผลจากการโคจรของดาวเสาร์ ที่โคจรครบรอบจักรราศี 30 ปี จำนวน 2 รอบ ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2492 ที่ผมคิดว่าจะผ่านพ้นไปแล้วเมื่อสงกรานต์เดือด ซึ่งควรจะเป็นเหตุการณ์ที่มีผลสำเร็จเด็ดขาด แต่เมื่อผลของเหตุการณ์ที่ไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดกลับทิ้งเชื้อประทุเอาไว้ จึงทำให้ต้องเกิดเหตุการณ์ซ้ำ อีกครั้งหนึ่ง และจะเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ณ จุดเกิดเหตุ หรือสถานที่เดิมที่เคยเกิดขึ้น เมื่อ 60 ปีล่วงมาแล้ว คือ “หน้าพระบรมมหาราชวัง”

อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน

          ปรัชญาดังกล่าวนี้ จะนำมาพิจารณาในกรณีที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำรอยเดิม ณ สถานที่เดิม ในช่วงระยะเวลาที่อาจจะเป็นเท่าใดก็ได้ตามแต่จะเข้าเงื่อนไขของวงรอบใดๆตามทฤษฎีทางโหราศาสตร์ เช่น การใช้วงรอบ 19 ปี ของเมโทนิค พิจารณาเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 กับ เหตุการณ์ พฤษภาคม 2535 เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีระยะเวลาห่างกัน 19 ปี ณ สถานที่เกิดเหตุที่เดียวกัน คือ ถนนราชดำเนิน และอาคารต่างๆบนถนนราชดำเนินที่ได้รับความเสียหายเหมือนกัน

          เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 17 สิงหาคม 2552 นี้ เมื่อพิจารณาย้อนหลังไป 19 ปี ไม่พบว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบริเวณหน้าพระบรมมหาราชวังเลย จึงต้องพิจารณาเปรียบเทียบความสัมพันธ์กับเหตุการณ์ กบฏวังหลวง ที่เคยเกิดขึ้น บริเวณหน้าพระบรมมหาราชวังเมื่อ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2492 โดยใช้วงรอบการโคจรครบจักรราศี 30 ปีของดาวเสาร์ จำนวน 2 รอบ

กบฏวังหลวง ครั้งที่ 1 :  26 กุมภาพันธ์ 2492

          คงไม่ทำให้เบื่อนะครับสำหรับผู้ที่อ่านตอนที่ 1 ไปแล้วที่ต้องอ่านเรื่องซ้ำอีกครั้ง แต่สำหรับผู้ที่เพิ่งได้อ่านจะได้เห็นภาพได้อย่างต่อเนื่อง

 

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

          กบฏวังหลวง ชื่อเรียกการกบฏที่เกิดขึ้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 เกิดขึ้นโดยนายปรีดี พนมยงค์นำกองกำลังส่วนหนึ่งจากประเทศจีนร่วมกับคณะนายทหารเรือ และอดีตเสรีไทยกลุ่มหนึ่ง เรียกตัวเองว่า "ขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์" นำกำลังยึดพระบรมมหาราชวังและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นกองบัญชาการ (จึงเป็นที่มาของชื่อกบฏในครั้งนี้) ในเวลาประมาณ 16.00 น. และเมื่อเวลา 21.00 น. ประกาศถอดถอน รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม และนายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายนาย และได้ประกาศแต่งตั้ง นายดิเรก ชัยนาม ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน โดยที่นายดิเรกมิได้มีส่วนรู้เห็นอันใดกับการกบฏครั้งนี้ ในส่วนนายปรีดีที่หลบหนีออกจากประเทศไปตั้งแต่การรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ได้แอบเดินทางกลับมาโดยปลอมตัวเป็นทหารเรือและติดหนวดปลอมปะปนเข้ามาพร้อมกับกลุ่มกบฏ แต่มีผู้พบเห็นและจำได้ ซึ่งความจริงแล้ว ทางฝ่ายรัฐบาลก็รู้ตัวก่อนแล้ว เพราะ จอมพล ป.ก่อนหน้านั้นได้พูดทิ้งท้ายไว้เป็นนัยทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยว่า "เลือดไทยเท่านั้น ที่จะล้างเมืองไทยให้สะอาดได้" และได้ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไว้ล่วงหน้าก่อนถึง 3 วันเกิดเหตุ

          ในระยะแรก ฝ่ายกบฏดูเหมือนจะเป็นฝ่ายได้ชัยชนะ เพราะสามารถยึดสถานที่สำคัญและจุดยุทธศาสตร์ไว้ได้หลายจุด แต่ทว่าตกค่ำของคืนวันนั้นเอง ทหารฝ่ายรัฐบาลก็ตั้งตัวติดและสามารถยึดจุดยุทธศาสตร์กลับคืนมาได้ อีกทั้งกองกำลังทหารเรือฝ่ายสนับสนุนกบฏจากฐานทัพเรือสัตหีบก็ติดอยู่ที่ท่าน้ำบางปะกง เพราะน้ำลดขอดเกินกว่าปกติ แพขนานยนต์ไม่สามารถที่จะลำเลียงอาวุธและกำลังคนข้ามฟากไปได้ เมื่อน้ำขึ้นก็เป็นเวลาล่วงเข้ากลางคืน กองกำลังทั้งหมดมาถึงพระนครในเวลา 2 ยาม ถึงตอนนั้นฝ่ายกบฏก็เพลี่ยงพล้ำต่อรัฐบาลแล้ว

          จุดที่มีการปะทะกันระหว่างทหารบกฝ่ายรัฐบาล และทหารเรือฝ่ายกบฏ เช่น ถนนวิทยุ ถนนพระราม 4 สาทร เป็นต้น มีการยิงกระสุนข้ามหลังคาบ้านผู้คนในละแวกนั้นไปมาเป็นตับ ๆ  พล.ต.สฤษดิ์  ธนะรัชต์ (จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ - ยศในขณะนั้น) ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการปราบปราม มีการสู้รบกันในเขตพระนครอย่างหนักหน่วง โดย พล.ต.สฤษดิ์เป็นผู้ยิงปืนจากรถถังทำลายประตูวิเศษไชยศรีของพระบรมมหาราชวังพังทลายลง จนในที่สุด เวลาเย็นของวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ทั้ง 2 ฝ่ายก็หยุดยิง เมื่อรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้และปราบปรามฝ่ายกบฏได้สำเร็จ นายปรีดี พนมยงค์ ต้องหลบหนีออกนอกประเทศอีกครั้ง และหลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน ได้มีการสังหารบุคคลสำคัญทางการเมืองลงหลายคน เช่น พล.ต.ต. บรรจงศักดิ์ ชีพเป็นสุข ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ พ.ต.โผน อินทรทัต ผู้อำนวยการโรงงานยาสูบและอดีตเสรีไทย รวมทั้งการสังหาร 4 อดีตรัฐมนตรีที่ถนนพหลโยธิน กิโลเมตรที่ 13 คือนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายถวิล อุดล นายจำลอง ดาวเรือง และนายทองเปลว ชลภูมิ ซึ่งเป็นนักการเมืองในสายของนายปรีดี พนมยงค์ เป็นต้น

หมายเหตุ : การก่อกบฏ 23 กุมภาพันธ์ 2492 เป็นเหตุการณ์ความพยายามที่จะสังหารคณะรัฐมนตรีในขณะนั้นแต่ไม่สำเร็จ บรรดาผู้ก่อการถูกฝ่ายรัฐบาลจับได้ และเป็นที่มาของกบฏวังหลวงในอีก 3 วันต่อมา

ฤาจะเกิดกรณี กบฏวังหลวง ครั้งที่ 2 :  17 สิงหาคม 2552

          กรณีที่จะมีการนัดชุมนุมเพื่อยื่นถวายฎีกาในวันที่ 17 สิงหาคม 2552 นั้น เป็นเหตุการณ์ที่จะนิ่งเฉยไม่ให้ความสนใจไม่ได้ มีประเด็นที่น่าสนใจ คือ มีการหาฤกษ์ไว้ก่อนแล้ว หรือ เป็นเหตุการณ์โดยบังเอิญ ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็แล้วแต่ เมื่อเหตุการณ์มาเกิดซ้ำในวงรอบการโคจร 30 ปีของดาวเสาร์ 2 รอบ

          เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 60 ปีที่แล้ว และเหตุการณ์ ณ วันนี้ ณ สถานที่ เดียวกัน ตัวละคร ณ วันนั้น มีทายาท หรือมีการผูกสายสัมพันธ์สืบทอดมาถึงวันนี้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น เมื่อ 60 ปีที่แล้ว คือ ความล้มเหลวของผู้ก่อการ ดังนั้น ผลลัพธ์ของเหตุการณ์ ณ วันนี้ ก็ย่อมมีผลเหมือนกันทุกประการ คือ ผู้กุมอำนาจรัฐ หรือฝ่ายรัฐบาล ณ วันนี้ ปี 2552 สามารถรักษาสถานภาพการเป็นรัฐบาลได้เหมือนกับรัฐบาลเมื่อ ปี 2492

          ประตูวิเศษไชยศรีของพระบรมมหาราชวังในปี 2552 หวังว่าจะไม่ต้องถูกทำลายจากปืนของรถถังเหมือนปี 2492 หรือจำเป็นจะต้องมี อัศวินโพกผ้าขาวม้าแดง คนที่ 2 อีกหรือไร

กรณีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ก่อกบฏ ในปี 2522

          โดยหลักการทางโหราศาสตร์ การนำปรัชญา อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน มาพิจารณาว่า เหตุการณ์ใดๆที่เคยเกิดขึ้นแล้วมีโอกาสที่จะเกิดซ้ำได้อีกหรือไม่นั้น จะต้องคำนึงถึง “กาละ เทศะ” กล่าวคือภายใต้สถานการณ์ และเงื่อนไขประกอบ ที่สามารถเทียบเคียง หรืออุปมาอุปมัยได้ ซึ่งจะพบว่า เมื่อปี 2522 การครบรอบการโคจร 30 ปีของของดาวเสาร์นั้นไม่เกิดเหตุการณ์เหมือนที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2492 เนื่องจาก ปัจจัยต่างๆทางการเมืองไม่ครบเงื่อนไขที่สำคัญ คือ ไม่มีบุคคลที่เป็นทายาท หรือมีสายสัมพันธ์ใดๆกับบุคคลในเหตุการณ์เมื่อปี 2492 และไม่มีเหตุการณ์ชุมนุมที่หน้าพระบรมมหาราชวัง ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัย ถือว่าเป็นปัจจัยหลักของการพิจารณาเกี่ยวกับหลักการใช้วงรอบการเกิดซ้ำ กับ ปรัชญา อดีต ปัจจุบันและอนาคต ล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน ต่างกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 17 สิงหาคม 2552 ที่มีเงื่อนไขครบ คือ มีผู้เกี่ยวข้องเป็นทายาท และมีสายสัมพันธ์กับบุคคลในปี 2492 และประการสำคัญ การนัดชุมนุมที่จะเกิดขึ้นหน้าพระบรมมหาราชวัง ซึ่งหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 2 ที่จะมีการชุมนุมที่หน้าพระบรมมหาราชวัง ซึ่งเปรียบเสมือนหนึ่ง ………

การยึดพระบรมมหาราชวังเป็นตัวประกัน

หากปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อีกครั้งหนึ่ง อีก 60 ปีข้างหน้า เหตุการณ์นี้ก็จะเกิดซ้ำอีก
 

เปรียบเทียบดวงชะตาของเหตุการณ์ทั้ง 2 ครั้ง                       

          ในภาพดวงชะตาที่ซ้อนกันอยู่นั้นจะแสดงให้เห็น ดวงชะตาวันกบฏวังหลวง 2492 อยู่วงใน และดวงชะตากบฏวังหลวง 2 อยู่วงนอก จะพบความสัมพันธ์ ดังนี้

          1. ปัจจัยที่หมายถึง การก่อกบฏ (Mo+ Ur - Ar) ของเหตุการณ์กบฏวังหลวง 2492 ทับดาวโครโนส  (Kr) (ดาวโครโนส หมายถึง บุคคลชั้นสูง ผู้นำ กษัตริย์)  ทำมุม สัมพันธ์ 45 องศากับจุด การก่อกบฏของวันที่เกิดเหตุกบฏวังหลวง 2552 ทับ ดาวโครโนส เช่นกัน

          2. อาทิตย์วันที่ 17 สิงหาคม 2552 ทำมุม 180  องศากับจันทร์ของวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2492 แสดงถึง ความสัมพันธ์ของบุคคลหลักที่ก่อการในครั้งนี้ มีสายสัมพันธ์กับบุคคลหลักเพศหญิงที่ก่อการในปี 2492

          3. และนอกจากนี้ ยังมีสมการทางโหราศาสตร์อีกหลายปัจจัยที่บ่งความสัมพันธ์ ซึ่งนักศึกษาโหราศาสตร์ยูเรเนียนจะสามารถค้นหาสมการเหล่านี้ได้ไม่ยาก

          แสดงว่า

          1. ผู้ก่อการกบฏเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2492 มีเป้าประสงค์มากกว่าการโค่นล้มรัฐบาลของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม แล้วผู้ก่อการในวันที่ 17 สิงหาคม 2552 (ซึ่งขณะที่เขียนบทความนี้ เหตุการณ์ความรุนแรงยังไม่เกิดขึ้น) มีเป้าประสงค์ หรือมีความคิดเช่นเดียวกับผู้ก่อการเมื่อ 60 ปีที่แล้วใช่หรือไม่

          2. ผู้ก่อการหลักในปี 2552 มีสายสัมพันธ์กับบุคคลเพศหญิงที่เป็นผู้ก่อการหลักในปี 2492 ด้วย

บทสรุป

          ผลกรรมของผู้ก่อการในปี 2552 ย่อมประสบ และมีทิศทางเดียวกับผลกรรมของผู้ก่อการในปี 2492 ทุกประการ
 สังคมไทยจะให้กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นกับลูกหลานในอนาคตอีก 60 ปีข้างหน้า หรือไร การแก้ไขยังพอมี ด้วยการลดเงื่อนไข หรือเบี่ยงเบนประเด็นที่เป็นปัจจัยหลัก ที่กล่าวมาแล้ว

          แล้วใคร จะเป็น อัศวินผู้กล้าแห่งปี 2552 เฉกเช่นเดียวกับที่ พล.ต.สฤษดิ์  ธนะรัชต์ (ยศในขณะนั้น) เคยกระทำการสำเร็จมาแล้ว