โดย Pallas
พฤศจิกายน 2550
บทนำ
เป้าหมายสำคัญข้อหนึ่งของวิชาโหราศาสตร์คือ การชี้แนวทางในการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับจังหวะฟ้า อันจะทำให้คนเราได้รับผลดีที่เกิดจากการกระทำของเราเองอย่างเต็มที่ และบรรเทาผลร้ายจากผลการกระทำของเราเช่นกัน วิธีการสำคัญอย่างหนึ่งคือ การเลือกเวลาที่เหมาะสมในการประกอบการนั้นๆที่ต้องการ หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า หาฤกษ์มงคล นั่นเอง
โหราศาสตร์ว่าด้วยการให้ฤกษ์นั้น มีศัพท์ภาษาอังกฤษเรียกว่า Electional Astrology ซึ่งมาจาก Election หรือการเลือกเวลาที่เหมาะสม (กรณีนี้ไม่ได้หมายถึงการเลือกตั้ง) โหราศาสตร์สาขานี้ถือว่าเป็นศิลปสูงสุดในวิชาโหราศาสตร์ ที่มีความซับซ้อนและสำคัญอย่างมาก นักโหราศาสตร์ที่จะวางฤกษ์ได้นั้นจะต้องรู้ซึ้งในวิชาการโหราศาสตร์ดีพอ รู้ถึงน้ำหนักคุณและโทษ โดยพยายามให้เกิดโทษน้อยที่สุด
ด้วยความซับซ้อนดังกล่าวทำให้เมื่อไรก็ตามที่เราต้องการที่จะเลือกเวลาที่จะกระทำการบางอย่าง เช่น แต่งงาน, ขึ้นบ้านใหม่, เปิดบริษัท ฯลฯ ให้เกิดความเป็นมงคลหรือพูดเป็นภาษายุคนี้ว่า ให้ประสบความสำเร็จ เราจึงมักจะไปปรึกษานักโหราศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อให้คำปรึกษาในเรื่องนี้ ซึ่งผมก็สนับสนุนความคิดนี้เป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ในชีวิตประจำวัน เรามีเรื่องราวหลายอย่างที่อาจจะไม่สำคัญถึงขั้นจะต้องไปปรึกษานักโหราศาสตร์ เช่น การโทรศัพท์ติดต่อเรื่องสำคัญ, การติดตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ใหม่, การเริ่มต้นลดน้ำหนัก, การจัดการกองเอกสารให้เป็นระเบียบ, การบอกรักกับแฟน ฯลฯ ซึ่งเราก็อยากให้งานเหล่านี้เป็นไปด้วยดี ในกรณีนี้ เราสามารถนำเทคนิคทางโหราศาสตร์ที่ง่ายๆไม่ซับซ้อนมาใช้ได้ นั่นคือ ยามสากล (Planetary Hours)
ที่มา
ยามสากล (Planetary Hours) เป็นเทคนิคการเลือกฤกษ์ทำการให้เกิดความเป็นมงคลกับงานนั้นๆ เทคนิคนี้ได้รับการค้นพบและใช้งานมาตั้งแต่ยุคโบราณ สันนิษฐานว่าเกิดในยุคเดียวกับจุดเริ่มต้นของโหราศาสตร์ ณ บริเวณเมโสโปเตเมีย เมื่อกว่า 4,000 ปีก่อน และน่าจะเป็นที่มาของชื่อวันทั้ง 7 ในรอบสัปดาห์ (รายละเอียดเพิ่มเติมโปรดอ่านในบทความ โหราศาสตร์กับที่มาของวันทั้ง 7 ในรอบสัปดาห์)
ในยุค 4,000 ปีก่อนนั้น นักปราชญ์ได้สังเกตการโคจรของดาวเคราะห์ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าทั้ง 7 ดวง และพบว่า อัตราการโคจรที่สังเกตเห็น (Apparent Motion) ของดาวเหล่านั้นมีความช้าเร็วไม่เท่ากัน เมื่อนำมาเรียงลำดับจากอัตราการโคจรช้าไปหาเร็ว ก็จะเรียงลำดับได้ดังนี้ เสาร์, พฤหัส, อังคาร, อาทิตย์, ศุกร์, พุธ, และจันทร์ ลำดับเช่นนี้เรียกกันว่า ลำดับคาลเดียน (Chaldean Order) เพราะชาวคาลเดียน กลุ่มชนซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของบาบิโลนและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ เป็นผู้ค้นพบ
เมื่อนักปราชญ์ในยุคนั้นสามารถเรียงลำดับอัตราการโคจรของดาวเคราะห์ทั้ง 7 ได้แล้ว จึงนำมาปรับใช้กับการกำหนดชั่วโมงในแต่ละวันและกำหนดชื่อวันในแต่ละสัปดาห์ กล่าวคือ แบ่งวันแต่ละวันเป็น 24 ชั่วโมง และกำหนดให้มีดาวเคราะห์ประจำชั่วโมง เริ่มต้นจากรุ่งอรุณของวันแรกให้ดาวเสาร์ซึ่งโคจรช้าที่สุดเป็นดาวประจำชั่วโมง ชั่วโมงที่สองให้ดาวพฤหัสเป็นดาวประจำชั่วโมง จากนั้นเป็น ชั่วโมงอังคาร, ชั่วโมงอาทิตย์, ชั่วโมงศุกร์, ชั่วโมงพุธ และชั่วโมงจันทร์ พอขึ้นชั่วโมงที่ 8 ก็เริ่มที่ชั่วโมงเสาร์ใหม่ เมื่อเรียงลำดับตามวิธีนี้ ชั่วโมงที่ 24 ก็คือ ชั่วโมงอังคาร ดังนั้น ชั่วโมงที่ 25 หรือรุ่งอรุณของวันที่สอง ก็คือ ชั่วโมงอาทิตย์ จึงเรียกชื่อวันที่ 2 ว่าวันอาทิตย์นั่นเอง เมื่อวนนับเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะได้วันที่สามเป็นวันจันทร์, ตามด้วยวันอังคาร วันพุธ วันพฤหัส และวันศุกร์ ก็ครบสัปดาห์พอดี เมื่อขึ้นวันใหม่ก็จะวนกลับมาที่วันเสาร์อีกครั้งนั่นเอง ข้อสังเกตของระบบการนับวันแบบนี้ คือการตัดวันใหม่จะเริ่มเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ไม่ใช่ตอนเที่ยงคืนอย่างปฏิทินที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม การกำหนดความนานของชั่วโมงในระบบยามสากลนี้ จะไม่เหมือนกับชั่วโมงตามนาฬิกาในยุคปัจจุบันที่เท่ากับ 60 นาทีเสมอ โดยในระบบยามสากล ความนานของชั่วโมงจะแบ่งเป็นชั่วโมงกลางวัน (Diurnal Hours) กับชั่วโมงกลางคืน (Nocturnal Hours) ซึ่งในฤดูร้อน ชั่วโมงกลางวันจะนานกว่าชั่วโมงกลางคืน เพราะดวงอาทิตย์จะขึ้นเร็วและตกช้า ส่วนในฤดูหนาวที่ดวงอาทิตย์ขึ้นช้า ตกเร็ว ชั่วโมงกลางวันจะสั้นกว่าชั่วโมงกลางคืน ทั้งนี้ ในแต่ละปีจะมีวันที่เวลากลางวันและกลางคืนยาวนานเท่ากันเพียง 2 วันเท่านั้น คือ ที่จุดวสันตวิษุวัต (Vernal Equinox) ประมาณวันที่ 21 มีนาคมของทุกปี และที่จุดครีษมายัน (Autumn Equinox) ประมาณวันที่ 23 กันยายนของทุกปี
นอกจากนี้ เวลาดวงอาทิตย์ขึ้นและดวงอาทิตย์ตกในแต่ละวันยังมีความแตกต่างกันไปตามละติจูดและลองจิจูดของสถานที่ที่เราอยู่ด้วย เช่น ในวันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ณ กรุงเทพมหานคร (ละติจูด 13 องศา 45 ลิบดา เหนือ, ลองจิจูด 100 องศา 31 ลิบดา ตะวันออก) ดวงอาทิตย์จะขึ้นเวลา 6:20 น. และตกเวลา 17:47 น. แต่หากเราอยู่ที่จังหวัดสงขลา (ละติจูด 7 องศา 12 ลิบดา เหนือ, ลองจิจูด 100 องศา 36 ลิบดา ตะวันออก) ดวงอาทิตย์ขึ้นเวลา 6:12 น. และตกเวลา 17:55 น. เป็นต้น (เวลาที่อ้างถึงเป็นเวลาที่ได้ปรับเป็นเวลานาฬิกาหรือเวลามาตรฐานประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ต้องปรับเวลาท้องถิ่นอีก)
วิธีการคำนวณ
การคำนวณหายามสากลนั้น เริ่มต้นเราต้องทราบเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นและดวงอาทิตย์ตกของวันนั้น ณ สถานที่ที่เราอยู่ ก่อน จากนั้น หาความนานของชั่วโมงกลางวันด้วยการนำเวลาดวงอาทิตย์ตก ลบด้วย เวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้น แล้วนำมาหารด้วย 12 จะได้ระยะเวลาในแต่ละชั่วโมงของกลางวัน ส่วนการหาความนานของชั่วโมงกลางคืนหาได้ด้วยการนำเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นของวันถัดไป ลบด้วย เวลาที่ดวงอาทิตย์ตกของวันนี้ หารด้วย 12
ลองมาดูตัวอย่างกัน ในวันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ณ กรุงเทพมหานคร (ละติจูด 13 องศา 45 ลิบดา เหนือ, ลองจิจูด 100 องศา 31 ลิบดา ตะวันออก) ดวงอาทิตย์จะขึ้นเวลา 6:20 น. และตกเวลา 17:47 น. และดวงอาทิตย์จะขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 11 พ.ย. เวลา 6:20 น. เมื่อเราจะหาชั่วโมงกลางวันของวันเสาร์ที่ 10 พ.ย. เรานำเวลา 17:47 น. ลบด้วยเวลา 6:20 น. ได้ผลลัพธ์คือ 11 ชั่วโมง 27 นาที หารด้วย 12 ได้ระยะเวลาของชั่วโมงกลางวันเท่ากับ 57 นาที 15 วินาที เมื่อนำเวลา 57 นาที 15 วินาที บวกเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นของวันเสาร์ที่ 10 ก็จะได้ชั่วโมงเสาร์ นั่นคือ 6:20 7:17 น. และเรียงลำดับชั่วโมงตามลำดับคาลเดียน จนถึงเวลาดวงอาทิตย์ตก 17:47 น.
สำหรับชั่วโมงกลางคืน ก็นำเวลา 6:20 น.ซึ่งเป็นเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นของวันอาทิตย์ที่ 11 ลบด้วยเวลา 17:47 น. ซึ่งเป็นเวลาดวงอาทิตย์ตกของวันเสาร์ที่ 10 ได้ผลลัพธ์คือ 12 ชั่วโมง 33 นาที หารด้วย 12 ได้ระยะเวลาของชั่วโมงกลางคืนเท่ากับ 62 นาที 45 วินาที เมื่อนำเวลา 62 นาที 45 วินาที บวกเวลาดวงอาทิตย์ตกของวันเสาร์ที่ 10 ก็จะได้ชั่วโมงที่ 13 ของวันนั้นหรือชั่วโมงพุธ นั่นคือ 17:47 18:50 น. จากนั้นเรียงลำดับชั่วโมงกลางคืนตามลำดับคาลเดียน จนถึงชั่วโมงอังคาร ระหว่างเวลา 4:14 6:20 น. ซึ่งเป็นชั่วโมงสุดท้ายของวันเสาร์ตามระบบยามสากล
เราสามารถสรุปชั่วโมงตามระบบยามสากลของตัวอย่างที่ยกขึ้นมาได้ตามภาพด้านล่าง ดังนี้
อ่านดูแล้ว อาจจะรู้สึกว่าการคำนวณค่อนข้างยุ่งยาก อย่างไรก็ตาม ในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ ความยุ่งยากดังกล่าวสามารถดำเนินการโดยให้โปรแกรมคอมพิวเตอร์คำนวณให้ โปรแกรมโหราศาสตร์ชั้นนำหลายโปรแกรมจะมีฟังก์ชั่น Planetary Hours ให้ เช่น โปรแกรม Nova Chartwheel, Solar Fire ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีอีกโปรแกรมที่สร้างขึ้นมาสำหรับใช้งานระบบยามสากลโดยเฉพาะ เช่น Sundial Software แต่โปรแกรมที่ผมนิยมที่สุด เพราะเป็น Freeware ที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆ นั่นคือ โปรแกรม ChronosXP ซึ่งสามารถดาวน์โหลดมาลงที่เครื่องคอมพิวเตอร์ได้ โดยโปรแกรมจะฝังตัวเองอยู่ที่ Startup Program และจะปรากฏสัญลักษณ์ดาวที่เป็นเจ้าของชั่วโมงนั้นๆที่มุมขวาล่างของ Desktop ทำให้สะดวกในการดูได้ตลอดเวลาที่เปิดคอมพิวเตอร์ และยังมีฟังก์ชั่นพิมพ์ออกมาเป็นกระดาษได้อีกด้วย (ทุกท่านสามารถไปดาวน์โหลดได้ตาม weblink ด้านล่าง)
การนำไปใช้งาน
เมื่อเราทราบตารางการเปลี่ยนชั่วโมงยามในแต่ละวัน คราวนี้ก็มาถึงขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือการนำไปประยุกต์ใช้งานจริง หลักการนำไปใช้เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ซับซ้อน โดยเป็นการนำปรัชญาความหมายของดาวที่เป็นเจ้าของชั่วโมงนั้นๆในการเลือกเวลาให้เหมาะสมกับกิจกรรมที่จะดำเนินการ ดังนี้
ชั่วโมงเสาร์ (Hour of Saturn)
ธรรมชาติของดาวเสาร์ คือ ความจริงจัง กฎระเบียบ ความนาน ดังนั้น จึงเหมาะสำหรับงานที่ต้องการการจัดการอย่างเป็นระเบียบ ต้องการความจริงจัง มีวินัยและความรับผิดชอบ งานที่ต้องการ เช่น การจัดเก็บเอกสารที่ระเกะระกะให้เป็นระเบียบ, การเริ่มต้นเลิกบุหรี่ เป็นต้น นอกจากนี้ งานที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ก็มีความหมายสอดคล้องกับดาวเสาร์เช่นกัน ทำให้บางท่านใช้ชั่วโมงเสาร์ในการเซ็นสัญญาซื้อขายบ้านที่ดิน แต่สำหรับเรื่องอื่นๆแล้ว ไม่ควรที่จะเซ็นสัญญาในชั่วโมงเสาร์ เพราะอาจส่งผลให้งานมีอุปสรรคได้
ชั่วโมงพฤหัส (Hour of Jupiter)
เหมาะสมสำหรับงานที่ต้องการความสำเร็จ มีการขยายตัว โดยทั่วไปแล้วชั่วโมงพฤหัสจะเป็นชั่วโมงที่ดี เหมาะสำหรับการเริ่มโครงการ เปิดบริษัท หรือขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น แต่ต้องระมัดระวังเช่นเดียวกันเพราะข้อเสียของดาวพฤหัสคือการขยายตัวจนอาจเกินความต้องการ จึงไม่เหมาะกับกิจกรรมบางอย่าง เช่น หากเริ่มต้นลดน้ำหนักในชั่วโมงนี้ มักจะไม่ได้ผล เพราะมักจะลดอาหารไม่ได้ เป็นต้น
ชั่วโมงอังคาร (Hour of Mars)
เหมาะสำหรับทำกิจกรรมที่ต้องออกแรง ออกเหงื่อ อาศัยความเข้มแข็ง กล้าหาญ เช่น การออกกำลังกาย กิจกรรมกลางแจ้ง อย่างไรก็ตาม ในชั่วโมงอังคารจะต้องระมัดระวังการติดต่อประสานงาน เพราะอังคารหมายถึงการเผชิญหน้า และอาจนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งได้
ชั่วโมงอาทิตย์ (Hour of Sun)
ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาลและเป็นแหล่งพลังงานของโลก ดังนั้น ในทางโหราศาสตร์ อาทิตย์จะหมายถึง ความเป็นผู้นำ ความโดดเด่น เป็นที่รักใคร่ของผู้อื่น ดังนั้น ชั่วโมงอาทิตย์จึงเหมาะสำหรับดำเนินการเกี่ยวกับหน้าที่การงานให้ประสบความสำเร็จ การจ้างงาน การเลื่อนตำแหน่ง การนำเสนองาน การพูดในที่สาธารณะ การเข้าพบบุคคลที่มียศมีตำแหน่ง รวมไปถึงการเก็งกำไรและการลงทุนอีกด้วย
ชั่วโมงศุกร์ (Hour of Venus)
เหมาะสำหรับงานสังคม งานเกี่ยวกับความบันเทิง ศิลปะ ความงาม ความรัก สร้างความสมานฉันท์ การแก้ไขข้อขัดแย้ง รวมถึงการพักผ่อนด้วย ดังนั้น หากจะบอกรักใคร ก็ควรที่จะบอกในชั่วโมงนี้ แต่ไม่ควรไปบอกในชั่วโมงเสาร์ เพราะความรักอาจจะต้องถึงคราวยุติลงก็ได้ นอกจากนี้ ชั่วโมงศุกร์ยังเหมาะสำหรับการตัดผมเสริมสวยและกิจกรรมเสริมความงามทั้งหลายอีกด้วย
ชั่วโมงพุธ (Hour of Mercury)
ในทางโหราศาสตร์ ดาวพุธเป็นดาวแห่งการติดต่อสื่อสาร การใช้ความคิด การพูดคุยเจรจาแลกเปลี่ยนระหว่างกัน ดังนั้น ชั่วโมงพุธจึงเหมาะสำหรับการใช้ความคิดอย่างมีเหตุมีผล การศึกษา การสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็น การลงนามในเอกสารสำคัญ การติดต่อสื่อสาร การโฆษณาประชาสัมพันธ์ รวมไปถึงการลงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การแก้ไขปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์ และการส่ง E-mail สำคัญๆอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากดาวพุธมีการโคจรถอยหลังอยู่บ่อยครั้ง ในช่วงนั้นจะส่งผลให้การติดต่อสื่อสารมักจะมีปัญหาหรือล่าช้า ดังนั้น ในช่วงดาวพุธโคจรถอยหลัง เราต้องระมัดระวังการติดต่อสื่อสาร หรือทำข้อตกลงใดๆ โดยควรมีการตรวจทานซ้ำให้มั่นใจว่าไม่ผิดพลาด
ชั่วโมงจันทร์ (Hour of Moon)
เหมาะสำหรับการกระทำการที่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลง งานที่ไม่ต้องการความยั่งยืนถาวร ไม่ผูกมัด งานที่ใช้สัญชาตญาณหรือจินตนาการ งานที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิง งานเกี่ยวกับเรื่องราวในบ้านและครอบครัว เช่น ออกไปซื้อของเพื่อนำมาตกแต่งบ้าน, ทดลองทำอาหารสูตรใหม่เพื่อทานกับครอบครัว
ตัวอย่างการใช้งาน
เพื่อเป็นตัวอย่างการประยุกต์นำความรู้เรื่องนี้ไปใช้งานในชีวิตประจำวัน ผมขอยกตัวอย่างวันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2550 ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นวันครบรอบการเปิดเว็บไซต์ Horauranian.com พอดี และได้คำนวณชั่วโมงยามไว้เรียบร้อยแล้วในหัวข้อ วิธีการคำนวณ
หากเราต้องการจะไปตัดผมเพื่อให้ออกมาดูดี เราก็ควรที่จะเลือกไปหาช่างตัดผมในชั่วโมงของดาวศุกร์ ซึ่งในเวลากลางวันจะมี 2 ช่วงคือ เวลา 10:09-11:06 น. และเวลา 16:50-17:47 น. สมมุติว่าเราเลือกช่วงเวลา 5 โมงเย็น เราก็อาจจะโทรไปนัดช่างผมก่อนเพื่อความแน่นอน แล้วไปถึงที่ร้านช้ากว่าเวลาฤกษ์สัก 5-10 นาทีเผื่อนาฬิกาเราเดินไม่ตรง (ตำราโบราณบางเล่มให้ทำการหลังเริ่มชั่วโมงยามนั้นไปแล้วประมาณ 15 นาที เผื่อความผิดพลาดของการคำนวณและนาฬิกา เนื่องจากยังไม่มีคอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้การคำนวณเที่ยงตรงได้)
อีกตัวอย่างหนึ่ง หากเราคิดว่าจะโทรไปบอกยกเลิกบัตรเครดิตที่มีอยู่หลายใบเหลือเกิน (ส่งผลให้เราใช้จ่ายเกินกว่าที่ควรจะเป็น) และเกรงว่าทาง Call Center ของบัตรเครดิตจะยื่นข้อเสนอดีๆให้เราจนเราอาจใจอ่อนไม่ยกเลิก เราก็ควรจะเลือกชั่วโมงเสาร์ เพราะจะทำให้เราหนักแน่น ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งในวันที่ 10 พ.ย. 50 ก็จะมีชั่วโมงเสาร์อยู่หลายรอบ เราก็อาจจะเลือกชั่วโมงเสาร์ในเวลา 13:01-13:58 น. เพราะไม่เช้า ไม่ค่ำจนเกินไป
ยามสากล vs ยามอัฏฐกาล
ในโหราศาสตร์ไทย มีระบบยามที่เรียกว่า ยามอัฏฐกาล ซึ่งเป็นคัมภีร์เก่าแก่ใช้กันอย่างแพร่หลายตั้งแต่โบราณ ส่วนใหญ่นิยมเอามาใช้ในการทายของหาย ข่าวคราว หรือการเจ็บไข้ ซึ่งเป็นลักษณะของกาลชะตา (Horary) คือใช้เวลาขณะที่คนมาหาเป็นตัวตั้งในการพยากรณ์โดยไม่ต้องคำนวณดวงชะตาของผู้มาดูเลย อย่างไรก็ตาม ในคัมภีร์ก็มีให้ดูประกอบการให้ฤกษ์ยามเช่นกัน แต่เท่าที่ผมสังเกตพบว่าไม่ค่อยได้รับความนิยมในการให้ฤกษ์ยามเท่าไรนัก ตรงนี้แตกต่างกับยามสากลที่คนมักนิยมใช้ในการกำหนดฤกษ์ยามง่ายๆมากกว่าใช้พยากรณ์กาลชะตา
คำว่า อัฏฐ แปลว่า แปด ดังนั้น ยามอัฏฐกาลคือการแบ่งเวลากลางวันหรือกลางคืนออกเป็น 8 ช่วงเท่าๆกัน ดังนั้น แต่ละช่วงจะมีความนานเท่ากับ 1 ชั่วโมง 30 นาที (มาจากนำ 12 ชั่วโมงตั้งหารด้วย 8) ระบบยามอัฏฐกาลของไทยเรานี้ไม่ต้องคำนวณเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นหรือตก แต่จะใช้เวลา 6:00 น.เป็นเวลาเริ่มต้นยามกลางวัน และ 18:00 น. เป็นเวลาเริ่มต้นยามกลางคืน เหตุผลที่ทำเช่นนี้ได้ ผมเข้าใจว่าเป็นเพราะประเทศไทยอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรทำให้เวลาดวงอาทิตย์ขึ้นหรือตกจะอยู่ประมาณ 6 โมงเช้าหรือ 6 โมงเย็นไม่แตกต่างมากนัก โหราจารย์ของไทยในอดีตจึงใช้เวลาประมาณไปเลย ซึ่งทำให้สะดวกอย่างมากในการนำไปพยากรณ์
ระบบยามอัฏฐกาลจะเริ่มยามแรกของวันด้วยดาวประจำวันนั้นๆ เมื่อนับไปแปดลำดับก็ครบยามกลางวัน และเริ่มต้นยามกลางคืนด้วยดาวประจำวันนั้นๆอีกที ซึ่งไม่เหมือนกับยามสากลที่นับต่อเนื่องกันไปเลย นอกจากนั้นชื่อยามของดาวเคราะห์เดียวกันสำหรับยามกลางวันกับยามกลางคืนจะไม่เหมือนกัน เช่น อาทิตย์ ยามกลางวันเรียกว่า สุริชะ ยามกลางคืนเรียกว่า รวิ, จันทร์ ยามกลางวันเรียกว่าจันเทา ยามกลางคืนเรียกว่าศศิ เป็นต้น ลำดับของยามอัฏฐกาลสามารถสรุปได้ดังตารางด้านล่าง
จากตารางที่แสดง เราจะพบว่า ลำดับของยามกลางวันของยามอัฏฐกาลเป็นไปตามลำดับคาลเดียน (Chaldean Order) เช่นเดียวกับยามสากล นั่นคือ เสาร์ (๗) พฤหัส (๕) อังคาร (๓) อาทิตย์ (๑) ศุกร์ (๖) พุธ (๔) และจันทร์ (๒) แต่ลำดับยามอัฏฐกาลภาคกลางคืนจะเป็นการนับถอยหลังข้ามไป 1 ลำดับ นั่นคือ เสาร์ (๗) พุธ (๔) อาทิตย์ (๑) พฤหัส (๕) จันทร์ (๒) ศุกร์ (๖) และอังคาร (๓) จากจุดนี้เองทำให้ผมเชื่อว่าต้นกำเนิดของยามอัฏฐกาลของไทยเราก็น่าจะมาจากเมโสโปเตเมียเช่นกัน เพียงแต่โหรโบราณท่านได้นำมาปรับแก้เพิ่มเติมจนพัฒนากลายมาเป็นยามอัฏฐกาลดังที่เห็น
สรุป
หลักการเรื่อง ยามสากล นี้ถือว่าเป็นเทคนิคทางโหราศาสตร์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี แม้ว่าการคำนวณชั่วโมงยามในแต่ละวันอาจจะดูยุ่งยาก แต่ยุคสมัยนี้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ก็ช่วยลดเวลาและความยุ่งยากจากการคำนวณได้ ทำให้ภาระที่เหลือสำหรับผู้ที่ต้องการกำหนดฤกษ์มงคลอย่างง่ายก็เหลือเพียงแต่การแปลความหมายของดาวประจำชั่วโมงนั้นๆให้สอดคล้องกับกิจการงานที่เราจะดำเนินการเท่านั้น ซึ่งบทความนี้ก็ได้ให้กรอบแนวคิดกว้างๆไว้เป็นแนวทางแล้ว จึงอยากเชิญชวนให้ผู้สนใจที่จะเลือกฤกษ์มงคลด้วยตนเองทดลองนำไปใช้งานเพื่อให้เกิดความเป็นมงคลในชีวิตของท่านเอง
เอกสารอ้างอิง
1. http://chronosxp.sourceforge.net/en/, โปรแกรม Planetary Hours ที่เป็น Freeware
2. Maria Kay Simms, A Time for Magick,
3. Christopher Warnock, Esq., Planetary Hours & Days.
4. Arlene Kramer, Planetary Hours.
5. พลูหลวง, ยามอัฏฐกาลแบบง่ายๆ, เกษมบรรณกิจ.
6. พลูหลวง, การให้ฤกษ์ฉบับง่าย, เกษมบรรณกิจ.